มัทนะพาธา
ที่มาของเรื่อง
บทละครพูดคำฉันท์เรื่อง มัทนะพาธา เป็นบทละครที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น ตามจินตนาการของพระองค์ โดยทรงให้ความสำคัญเรื่องความถูกต้อง และความสมจริงในรายละเอียดของเรื่อง ทัง้ ชื่อเรื่อง ชื่อตัวเอก และรายละเอียด ต่าง ๆเช่น ชื่อเรื่อง มัทนา มาจากศัพท์ มทน แปลว่า ความลุ่มหลงหรือความรัก และชื่อนางเอกของเรื่องมัทนะพาธา มีความหมาย ว่า ความเจ็บปวดและความเดือนร้อนเพราะความรัก ซึ่งตรงกับแก่นของเรื่อง ที่ชีใ้ ห้เห็นโทษของความรักระยะเวลาในการแต่ง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำละครพูดมาสู่วงการวรรณกรรมไทยเป็นครัง้ แรก ทัง้ นีเ้นื่องจากทรงสนพระทัยในบทละครของวิลเลียม เชคสเปียร์ จึงทรงพระราชนิพนธ์บทละครพูดไว้เป็นจำนวนมาก แต่เรื่องมัทนะพาธาหรือตำนานดอกกุหลาบนี ้ เป็นบทพระราชนิพนธ์ที่เป็นบทละครพูดคำฉันท์เพียงเรื่องเดียวโดยทรงเริ่มพระราชนิพนธ์เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๔๖๖ ขณะทรงพระประชวร และประทับอยู่ ณ พระราชวังพญาไท และทรงพระราชนิพนธ์เสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๔๖๖ นับได้ว่าใช้เวลาเพียง ๑ เดือน ๑๗ วันเท่านัน้ลักษณะการแต่ง
เรื่องมัทนะพาธาใช้คำประพันธ์หลายชนิดแต่เน้นแต่งด้วยฉันท์ บางตอนใช้กาพย์ยานี กาพย์ฉบังหรือกาพย์สุรางคนางค์ และมีบทเจรจาร้อยแก้วในส่วนของตัวละครที่ไม่สำคัญ ทำให้มีลีลาภาษาที่หลากหลาย ตอนใดดำเนินเรื่องรวดเร็วก็ใช้ร้อยแก้ว ตอนใดต้องการจังหวะเสียงและความคล้องจองก็ใช้กาพย์ และตอนใดที่เน้นอารมณ์มากก็มักใช้ฉันท์ลักษณะคำประพันธ์
ลักษณะคำประพันธ์ที่พบในเรื่อง มีทั้งกาพย์และฉันท์กาพย์ คือคำประพันธ์ชนิดหนึ่งซึ่งมีกำหนดคณะ พยางค์ และสัมผัส มีลักษณะคล้ายกับฉันท์ แต่ไม่นิยม ครุ ลหุ เหมือนกับฉันท์ กาพย์ แปลตามรูปศัพท์ว่า เหล่ากอแห่งกวี หรือประกอบด้วย คุณแห่งกวี หรือ คำที่กวี ได้ร้อยกรองไว้ กาพย์มาจากคำว่า กาวฺย หรือ กาพย และคำกาวฺย หรือ กาพย มาจากคำ กวี กวีออกมาจากคำเดิม ในภาษาบาลี และสันสกฤต กวิ แปลว่า ผู้คงแก่เรียน ผู้เฉลียวฉลาด ผู้มีปัญญาเปรื่องปราด ผู้ประพันธ์กาพย์กลอน และแปลอย่างอื่นได้อีกกาพย์ ตามความหมายเดิม มีความหมายกว้างกว่าที่เข้าใจกัน ในภาษาไทย คือ บรรดาบทนิพนธ์ ที่กวีได้ ร้อยกรองขึ้นไม่ว่าจะเป็น โคลง ฉันท์ กาพย์ หรือ ร่าย นับว่าเป็นกาพย์ ทั้งนั้น แต่ไทยเรา หมายความ แคบ หรือหมายความถึง คำประพันธ์ชนิดหนึ่ง ของกวีเท่านั้น
ฉันท์ คือ ลักษณะถ้อยคำที่กวีได้ร้อยกรองขึ้นเพื่อให้เกิดความไพเราะ โดยกำหนดครุ ลหุ และสัมผัสเป็นมาตรฐาน ฉันท์เป็นคำประพันธ์ที่ได้แบบอย่างมาจากอินเดีย เดิมแต่งเป็นภาษาบาลีและสันสกฤต ไทยนำเปลี่ยนแปลงลักษณะบางอย่างเพื่อให้สอดคล้องกับความนิยมในคำประพันธ์ไทย ตำราฉันท์ที่เป็นแบบฉบับของฉันท์ไทย คือ คัมภีร์วุตโตทัยในตอนที่เรียนพบคำประพันธ์ ประเภทต่าง ๆ ดังนี้
๑. กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘
๒. กาพย์ฉบัง ๑๖
๓. อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
๔. วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
๕.วิชชุมมาลาฉันท์ ๘
๖. อินทรวงศ์ฉันท์ ๑๒
๗.กมลฉันท์ ๑๒
๘.สาลินีฉันท์ ๑๑
๙. จิตระปทาฉันท์ ๘
เรื่องย่อ
จอมเทพสุเทษณ์เป็นทุกข์อยู่ด้วยความลุ่มหลงเทพธิดามัทนา แม้จิตระรถผู้สารถีคู่บารมีจะนำรูปของเทพเทวีผู้เลอโฉมหลายต่อหลายองค์มาถวายให้เลือกชม สุเทษณ์ก็มิสนใจไยดี จิตระรถจึงนำมายาวินวิทยาธรมาเฝ้า สุเทษณ์ให้มายาวินใช้เวทมนตร์เรียกนางมัทนามาหา เมื่อมาแล้วนางมัทนาก็เหม่อลอยมิมีสติสมบูรณ์เพราะตกอยู่ในฤทธิ์มนตรา สุเทษณ์มิต้องการได้นางด้วยวิธีเยี่ยงนั้น จึงให้มายาวินคลายมนตร์ แต่ครั้นได้สติแล้ว นางมัทนาก็ปฏิเสธว่ามิมีจิตเสน่หาตอบด้วยมิว่าสุเทษณ์จะเกี้ยวพาและรำพันรักอย่างไร สุเทษณ์โกรธนักจึงจะสาปมัทนาให้ไปเกิดในโลกมนุษย์ มัทนาขอให้นางได้ไปเกิดเป็นดอกไม้มีกลิ่นกลิ่นหอมเพื่อให้มีประโยชน์บ้าง สุเทษณ์จึงสาปมัทนาให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลายที่งามทั้ง กลิ่นทั้งรูป และมีแต่เฉพาะบนสวรรค์ยังไม่เคยมีบนโลกมนุษย์ โดยที่ในทุกๆ ๑ เดือน นางมัทนาจะหลายร่างเป็นคนได้ชั่ว ๑ วัน ๑ คืน ในเฉพาะวันเพ็ญของแต่ละเดือนเท่านั้น และถ้านางมีความรักเมื่อใด นางก็จะมิต้องคืนรูปเป็นกุหลาบอีก แต่นางจะได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความรักจนมิอาจทนอยู่ได้ และเมือนั้น ถ้านางอ้อนวอนขอความช่วยเหลือตนจึงจะงดโทษทัณฑ์นี้ให้แก่นางนางมัทนาไปจุติเป็นกุหลาบงามอยู่ในป่าหิมะวัน บรรดาศิษย์ของฤษีนามกาละทรรศินมาพบเข้าจึงนำความไปบอกพระอาจารย์ กาละทรรศินจึงให้ขุดไปปลูกในบริเวณอาศรมของตนในขณะที่จะทำการขุดก็มีเสียงผู้หญิงร้อง กาละทรรศินเล็งญาณดูก็รู้ว่าเป็นเทพธิดามาจุติ จึงได้เอ่ยเชิญและสัญญาว่าจะคอยดูแลปกป้องสืบไป เมื่อนั้น การจึงสำเร็จด้วยดี วันเพ็ญในเดือนหนึ่งท้าวชัยเสนกษัตริย์แห่งหัสตินาปุระได้เสด็จออกล่าสัตว์ในป่าหิมะวันและได้แวะมาพักที่อาศรมพระฤษี ครั้น ได้เห็นนางมัทนาในโฉมของนารีผู้งดงามก็ถึงกับตะลึงและตกหลุมรัก จนถึงกับรับสั่งให้มหาดเล็กปลูกพลับพลาพักแรมไว้ใกล้อาศรมนั้น ทันทีท้าวชัยเสนรำพันถึงความรักลึกซึ้ง ที่มีต่อนางมัทนา ครั้น เมื่อนางมัทนาออกมาที่ลานหน้าอาศรมก็มิเห็นผู้ใด ด้วยเพราะท้าวชัยเสนหลบไปแฝงอยู่หลังกอไม้ นางมัทนาได้พรรณนาถึงความรักที่เกิดขึ้น ในใจอย่างท่วมท้น ท้าวชัยเสนได้สดับฟังทุกถ้อยความจึงเผยตัวออกมาทั้งสองจึงกล่าวถึงความรู้สึกอันล้ำลึกในใจที่ตรงกันจนเข้าใจในรักที่มีต่อกัน จากค่ำคืนถึงยามรุ่งอรุณ ท้าวชัยเสนจึงทรงประกาศหมั้น และคำสัญญารัก ณ ริมฝั่งลำธารใกล้อาศรมนั้นเมื่อมีความรักแล้ว นางมัทนาก็ยังคงรูปเป็นนารีผู้งดงาม มิต้องกลายรูปเป็นกุหลาบอีก ท้าวชัยเสนได้ทูลขอนางมัทนา พระฤษีก็ยกให้โดยให้จัดพิธีบูชาทวยเทพและพิธีวิวาห์มงคลในป่านั้นเสียก่อน ท้าวชัยเสนเสด็จกลับวังหลายเพลาแล้วแต่ก็มิได้เสด็จไปยังพระตำหนักข้างในด้วยว่ายังทรงประทับอยู่แต่ในอุทยาน พระนางจัณฑี มเหสีให้นางกำนัลมาสืบดูจนรู้ว่าพระสวามีนำสาวชาวป่ามาด้วย จึงตามมาพบท้าวชัยเสนกำลังอยู่กับนางมัทนาพอดี เมื่อพระนางจัณฑีเจรจาค่อนขอดดูหมิ่นนางมัทนา ท้าวชัยเสนก็กริ้ว และทรงดุด่าว่าเป็นมเหสีผู้ริษยาพระนางจัณฑีแค้นใจนัก ให้คนไปทูลฟ้องพระบิดาผู้เป็นเจ้าแห่งมคธนครให้ยกทัพมาทำศึกกับท้าวชัยเสน จากนั้น ก็คบคิดกับนางค่อมอราลีและวิทูรพราหมณ์หมอเสน่ห์ ทำอุบายกลั่นแกล้งนางมัทนาโดยส่งหนังสือไปทูลท้าวชัยเสนว่านางมัทนาป่วย ครั้น เมื่อท้าวชัยเสนรีบเสด็จกลับมาเยี่ยมนางมัทนา ก็กลับพบหมอพราหมณ์กำลังทำพิธีอยู่ใกล้ๆต้นกุหลาบ วิทูรกับนางเกศินีข้าหลวงของนางจัณฑีจึงทูลใส่ความว่านางมัทนาให้ทำเสน่ห์เพื่อให้ได้ร่วมชื่นชูสมสู่กับศุภางค์ท้าวชัยเสนกริ้ว นัก รับสั่งให้ศุภางค์ประหารนางมัทนาแต่ศุภางค์ไม่ยอม ท้าวชัยเสนจึงสั่งประหารทั้งคู่ พระนางจัณฑีได้ช่องรีบเข้ามาทูลว่าตนจะอาสาออกไปห้ามศึกพระบิดาซึ่งคงเข้าใจผิดว่า นางกับท้าวชัยเสนนั้น บาดหมางกัน แต่ท้าวชัยเสนตรัสว่าทรงรู้ทันอุบายของนางที่คิดก่อศึกแล้วจะห้ามศึกเอง พระองค์จะขอออกทำศึกอีกคราแล้วตัดหัวกษัตริย์มคธพ่อตาเอามาให้นางผู้ขบถต่อสวามีตนเอง ขณะตั้ง ค่ายรบอยู่ที่นอกเมือง วิทูรพรหมณ์เฒ่าได้มาขอเข้าเฝ้าท้าวชัยเสนเพื่อสารภาพความทั้ง ปวงว่าพระนางจัณฑีเป็นผู้วางแผนการร้าย ซึ่งในที่สุดแล้วตนสำนึกผิดและละอายต่อบาปที่เป็นเหตุให้คนบริสุทธิ์ต้องได้รับโทษประหารท้าวชัยเสนทราบความจริงแล้วคั่งแค้นจนดำริจะแทงตนเองให้ตาย แต่อำมาตย์นันทิวรรธนะเข้าห้ามไว้ทันและสารภาพว่าในคืนเกิดเหตุนั้น ตนละเมิดคำสั่ง มิได้ประหารศุภางค์และนางมัทนาหากแต่ได้ปล่อยเข้าป่าไป ซึ่งนางมัทนานั้น ได้โสมะทัตศิษญ์เอกของฤษีกาละทรรศินนำพากลับสู่อาศรมเดิม แต่ศุภางค์นั้น แฝงกลับเข้าไปร่วมกับกองทัพแล้วออกต่อสู้กับข้าสึกจนตัวตายท้าวชัยเสนจึงรับสั่งให้ประหารท้าวมคธที่ถูกจับมาเป็นเชลยไว้ก่อนหน้านั้น แล้ว ส่วนพระนางจัณฑีมเหสีนัน้ ทรงให้เนรเทศออกนอกพระนคร ด้วยทรงเห็นว่าอันนารีผู้มีใจมุ่งร้ายต่อผู้เป็นสามีก็คงต้องแพ้ภัยตนเอง มิอาจอยู่เป็นสุขได้นานแน่ฝ่ายนางมัทนานั้น ได้ทำพิธีบูชาเทพและวอนขอร้องให้สุเทษณ์จอมเทพช่วยนางด้วย สุเทษณ์นั้น ก็ยินดีจะแก้คำสาปและรับนางเป็นมเหสี แต่นางมัทนาก็ยังคงปฏิเสธและว่าอันนารีจะมีสองสามีได้อย่างไร สุเทษณ์เห็นว่านางมัทนายังคงปฏิเสธความรักของตนจึงกริ้ว นักสาปส่งให้นางมัทนาเป็นดอกกุหลาบไปตลอดกาล มิอาจกลายร่างเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไปเมื่อท้าวชัยเสนตามมาถึงในป่า นางปริยัมวะทาที่ตามมาปรนนิบัติดูแลนางมัทนาด้วยก็ทูลเล่าความทั้งสิ้น ให้ทรงทราบ ท้าวชัยเสนจึงร้องร่ำให้ด้วยความอาลัยรักแล้วขอให้พระฤษีช่วย โดยใช้มนตราและกล่าวเชิญนางมัทนาให้ยินยอมกลับเข้าไปยังเวียงวังกับตนอีกคราเมื่อพระฤษีทำพิธีแล้ว ท้าวชัยเสนก็รำพันถึงความหลงผิดและความรักที่มีต่อนางมัทนาให้ต้นกุหลาบได้รับรู้ จากนั้นจึงสามารถขุดต้นกุหลาบได้สำเร็จ ท้าวชัยเสนได้นำต้นกุหลาบขึ้น วอทองเพื่อนำกลับไปปลูกในอุทยาน และขอให้ฤาษีกาละทรรศินให้พรวิเศษว่ากุหลาบจะยังคงงดงามมิโรยราตราบจนกว่าตัวพระองค์เองจะสิ้น อายุขัย พระฤษีก็อวยพรให้ดังใจ และประสิทธิประสาทพรให้กุหลาบนั้น ดำรงอยู่คู่โลกนี้มิมีสูญพันธ์ อีกทั้ง ยังเป็นไม้ดอกที่กลิ่นอันหอมหวานสามารถช่วยดับทุกข์ในใจคนและดลบันดาลให้จิตใจเบิกบานเป็นสุขได้ ชาย-หญิงเมื่อมีรักก็จักใช้ดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักแท้สืบต่อไปบทละครพูดคำฉันท์ เรื่อง มัทนะพาธาองก์ที่ ๑
(มายาวินประนมมือและนั่งบริกรรม, พิณพาทย์ทำเพลงตระสันนิบาต. ทุกๆคนตั้งตาคอยมองดู พอถึงรัวท้ายตระ มัทนาเดินออกมา, ตาจ้องเป๋งไม่แลดูใคร และกิริยาอาการเป็นอย่างคนที่ยังหลับอยู่, และพูดหรือแสดงกิริยาอย่างคนที่ฝัน. สุเทษณ์ลุกจากบัลลังก์ลงมาต้อนรับด้วยความยินดี, แต่ครั้นเห็นมัทนาจังงังอยู่ ไม่ยิ้มแย้มก็ชะงัก, แล้วหันไปพูดกับมายาวิน.)
[สุรางคณา, ๒๘.]
สุเทษณ์ นางมาแล้วไซร้ แต่ว่าฉันใด จึ่งไม่พูดจา
มายาวิน นางยังงงงวย ด้วยฤทธิ์มนตรา,แต่ว่าตูข้า จะแก้บัดนี้
(พูดสั่งมัทนา)
ดูก่อนสุชาตา มะทะนาวิไลศรี
ยามองค์สุเทษณ์มี วรพจน์ประการใด,
นางจงทำนูลตอบ มะธุรสธตรัสไซร้ ;
เข้าใจมิเข้าใจ ฤก็ตอบพะจีพลัน.
มัทนา เข้าใจละเจ้าข้า, ผิวะองค์สุเทษณ์นั้น
ตรัสมาดิฉันพลัน จะเฉลยพระวาที
สุเทษณ์ นางมาแล้วไซร้ แต่ว่าฉันใด จึ่งไม่พูดจา
มายาวิน นางยังงงงวย ด้วยฤทธิ์มนตรา,แต่ว่าตูข้า จะแก้บัดนี้
(พูดสั่งมัทนา)
ดูก่อนสุชาตา มะทะนาวิไลศรี
ยามองค์สุเทษณ์มี วรพจน์ประการใด,
นางจงทำนูลตอบ มะธุรสธตรัสไซร้ ;
เข้าใจมิเข้าใจ ฤก็ตอบพะจีพลัน.
มัทนา เข้าใจละเจ้าข้า, ผิวะองค์สุเทษณ์นั้น
ตรัสมาดิฉันพลัน จะเฉลยพระวาที
[วสันตะดิลก, ๑๔.]
สุเทษณ์ อ้าโฉมวิไลยะสุปริยา มะทะนาสุรางค์ศรี,
พี่รักและกอบอภิระตี บมิเว้นสิเน่ห์นัก ;
บอกหน่อยเถิดว่าดะรุณิเจ้า ก็จะยอมสมัครรัก.
มัทนา ตูข้าสมัครฤมิสมัคร ก็มิขัดจะคล้อยตาม
สุเทษณ์ จริงฤานะเจ้าสุมะทะนา วจะเจ้าแถลงความ?
มัทนา ข้าขอแถลงวะจะนะตาม สุระเทวะโปรดปราน
สุเทษณ์ รักจริงมิจริงฤก็ไฉน อรไทบ่แจ้งการ?
มัทนา รักจริงมิจริงก็สุระชาญ ชยะโปรดสถานใด?
สุเทษณ์ พี่รักและหวังวธุจะรัก และบทอดบทิ้งไป.
มัทนา พระรักสมัครณพระหทัย ฤจะทอดจะทิ้งเสีย?
สุเทษณ์ ความรักละเหี่ยอุระระทด เพราะมิอาจจะคลอเคลีย
มัทนา ความรักระทดอุระละเหี่ย ฤจะหายเพราะเคลียคลอ?
สุเทษณ์ โอ้โอ๋กระไรนะมะทะนา บมิตอบพะจีพอ?
มัทนา โอ้โอ๋กระไรอะมระง้อ มะทะนามิพอดี!
สุเทษณ์ เสียแรงสุเทษณ์นะประดิพัทธ์ มะทะนาบเปรมปรีดิ์.
มัทนา แม้ข้าบเปรมปฺริยะฉะนี้ ผิจะโปรดก็เสียแรง
สุเทษณ์ โอ้รูปวิไลยะศุภะเลิศ บมิควรจะใจแข็ง
มัทนา โอ้รูปวิไลยะมละแรง ละก็จำจะแข็งใจ
(สุเทษณ์จ้องดูนาง, แต่นางยังคงตาลอยไม่จับตาอยู่, สุเทษณ์ออกฉงน, จึ่งลองพูดไปอีก.)
สุเทษณ์ อ้าโฉมวิไลยะสุปริยา มะทะนาสุรางค์ศรี,
พี่รักและกอบอภิระตี บมิเว้นสิเน่ห์นัก ;
บอกหน่อยเถิดว่าดะรุณิเจ้า ก็จะยอมสมัครรัก.
มัทนา ตูข้าสมัครฤมิสมัคร ก็มิขัดจะคล้อยตาม
สุเทษณ์ จริงฤานะเจ้าสุมะทะนา วจะเจ้าแถลงความ?
มัทนา ข้าขอแถลงวะจะนะตาม สุระเทวะโปรดปราน
สุเทษณ์ รักจริงมิจริงฤก็ไฉน อรไทบ่แจ้งการ?
มัทนา รักจริงมิจริงก็สุระชาญ ชยะโปรดสถานใด?
สุเทษณ์ พี่รักและหวังวธุจะรัก และบทอดบทิ้งไป.
มัทนา พระรักสมัครณพระหทัย ฤจะทอดจะทิ้งเสีย?
สุเทษณ์ ความรักละเหี่ยอุระระทด เพราะมิอาจจะคลอเคลีย
มัทนา ความรักระทดอุระละเหี่ย ฤจะหายเพราะเคลียคลอ?
สุเทษณ์ โอ้โอ๋กระไรนะมะทะนา บมิตอบพะจีพอ?
มัทนา โอ้โอ๋กระไรอะมระง้อ มะทะนามิพอดี!
สุเทษณ์ เสียแรงสุเทษณ์นะประดิพัทธ์ มะทะนาบเปรมปรีดิ์.
มัทนา แม้ข้าบเปรมปฺริยะฉะนี้ ผิจะโปรดก็เสียแรง
สุเทษณ์ โอ้รูปวิไลยะศุภะเลิศ บมิควรจะใจแข็ง
มัทนา โอ้รูปวิไลยะมละแรง ละก็จำจะแข็งใจ
(สุเทษณ์จ้องดูนาง, แต่นางยังคงตาลอยไม่จับตาอยู่, สุเทษณ์ออกฉงน, จึ่งลองพูดไปอีก.)
สุเทษณ์ หากพี่จะกอดวธุและจุม- พิตะเจ้าจะว่าไร?
มัทนา ข้าบทาจะขัดฤก็มิได้ ผิพระองค์จะทรงปอง
สุเทษณ์ ว่าแต่จะเต็มฤดิฤหาก ดนุกอดและจูบน้อง?
มัทนา เต็มใจมิเต็มใจดนูก็ต้อง ปฏิบัติระเบียบดี.
(สุเทษณ์ไม่พอใจในคำตอบของนาง, จึ่งหันไปพูดกับมายาวิน)
มัทนา ข้าบทาจะขัดฤก็มิได้ ผิพระองค์จะทรงปอง
สุเทษณ์ ว่าแต่จะเต็มฤดิฤหาก ดนุกอดและจูบน้อง?
มัทนา เต็มใจมิเต็มใจดนูก็ต้อง ปฏิบัติระเบียบดี.
(สุเทษณ์ไม่พอใจในคำตอบของนาง, จึ่งหันไปพูดกับมายาวิน)
[สุรางคณา,๒๘.]
สุเทษณ์ แน่ะมายาวิน เหตุใดยุพิน จึ่งเป็นเช่นนี้?
ดูราวมะเมอ เผลอเผลอฤดี ประดุจไม่มี ชีวิตจิตใจ,
คราใดเราถาม หล่อนก็ย้อนความ เหมือนเช่นถามไป,
ดังนี้จะยวน ชวนเชยฉันใด ก็เปรียบเหมือนไป พูดกับหุ่นยนต์.
มายาวิน เทวะ,ที่นาง อาการเป็นอย่าง นี้เพราะฤทธิ์มนตร์;
โยคะอันขลัง บังคับได้จน ให้ตอบยุบล ได้ตามต้องการ
แต่จะบังคับ ใครใครให้กลับ มโนวิญญาณ,
ให้ชอบให้ชัง ยืนยังอยู่นาน ย่อมจะเป็นการ สุดพ้นวิสัย
หากว่าพระองค์ มีพระประสงค์ อยู่เพียงจะให้
นงคราญฉลอง รองพระบาทไซร้ ข้าอาจผูกใจ ไว้ด้วยมนตรา.
มิให้นงรัตน์ ดื้อดึงขึงขัด ซึ่งพระอัชฌา,
บังคับให้ยอม ประนอมเป็นข้า บาทบริจา ริกาเทวัญ.
สุเทษณ์ อ๊ะ! เราไม่ขอ ได้นางละหนอ โดยวิธีนั้น!
เสียแรงเรารัก สมัครใจครัน อยากให้นางนั้น สมัครรักตอบ.
ผูกจิตรด้วยมนตร์ ล้วตามใจตน ฝ่ายเดียวมิชอบ
เราไฝ่ละโบม ประโลมใจปลอบ ให้นางนึกชอบ นึกรักจริงใจ
ฉะนั้นท่านครู คายเวทมนตร์ดู อย่าช้าร่ำไร,
หากเราโชคดี ครั้งนี้คงได้ สิทธิ์สมดังใจ; รีบคลายมนตรา.
มายาวิน เอวํ เทวะ.
(มายาวินประนมมือแล้วร่ายมนตร์ต่อไปนี้)
[วิชฺชุมาลา, ๘.]
มายาวิน อันเวทอาถรรพณ์ ที่พันผูกจิต
แห่งนางมิ่งมิตร อยู่บัดนี้นา,
จงเคลื่อนคลายฤทธิ์ จากจิตกัญญา
คลายคลายอย่าช้า สวัสดีสวาหาย!
(มายาวินยกมือไหว้ แล้วเสกเป่าไปทางมัทนา. ฝ่ายมัทนาค่อยๆรู้สึกตัว, เอามือลูบตาเหมือนคนตื่นนอน, ได้สติบริบูรณ์. บัดนี้
นางเหลียวแลไปเห็นสุเทษณ์ก็ตกใจ,ตั้งท่าเหมือนจะหนีไป, แต่สุเทษณ์ขวางทางไว้)
สุเทษณ์ อ้ามัทนาโฉมฉาย เฉิดช่วงดังสาย วิชชุประโชติอัมพร
ไหนไหนก็เจ้าสายสมร มาแล้วจะร้อน จะรนและรีบไปไหน?
มัทนา เทวะ,อันข้านี้ไซร้ มานี่อย่างไร บทราบสำนึกสักนิด;
จำได้ว่าข้าสถิต ในสวนมาลิศ และลมรำเพยเชยใจ,
แต่อยู่ดีดีทันใด บังเกิดร้อนใน อุระประหนึ่งไฟผลาญ,
ร้อนจนสุดที่ทนทาน แรงไฟในราน ก็ล้มลงสิ้นสมฤดี.
ฉันใดมาได้แห่งนี้? หรือว่าได้มี ผู้ใดไปอุ้มข้ามา?
ขอพระองค์จงเมตตา และงดโทษข้า ผู้บุกรุกถึงลานใน.
สุเทษณ์ อ้าอรเอกองค์อุไร พี่จะบอกให้ เจ้าทราบคดีดังจินต์;
พี่เองใช้มายาวิน ให้เชิญยุพิน มาที่นี้ด้วยอาถรรพณ์
มัทนา เหตุใดพระองค์ทรงธรรม์ จึ่งทำเช่นนั้น ให้ข้าพระบาทต้องอาย
แก่หมู่ชาวฟ้าทั้งหลาย? โอ้พระฦาสาย พระองค์จงทรงปรานี.
(มัทนาร้องไห้. พิณพาทย์ทำเพลงโอด. สุเทษณ์ปลอบ.)
[อินทวงส์, ๑๒.]
สุเทษณ์ อ้ายอดสิเนหา มะทะนาวิสุทธิศรี,
อย่าทรงพระโศกี วรพักตร์จะหม่นจะหมอง.
พี่นี้นะรักเจ้า และจะเฝ้าประคับประคอง
คู่ชิดสนิทน้อง บ่มิให้ระคางระคาย.
พี่รักวะธุนวล บ่มิควรระอาละอาย,
อันนาริกับชาย ฤก็ควรจะร่วมจะรัก.
รูปเจ้าวิไลราว สุระแสร้งประจิตประจักษ์,
มิควรจะร้างรัก เพราะพะธูพิถีพิถัน;
ธาดาธสร้างองค์ อรเพราะพิสุทธิสรรพ์
ไว้เพื่อจะผูกพัน ธนะจิตตะจองฤดี.
อันพี่สิบุญแล้ว ก็เผอิญประสบสุรี
และรักสมัครมี มนะมุ่งทะนุถนอม.
ขอโฉมเฉลาปลง พระฤดีประนีประนอม.
รับรักและยินยอม ดนุรักสมัครสมาน.
หากนางมิข้องขัด ประดิพัทธ์ประสมประสาน
ทั้งสองจะสุขนาน มนะจ่อบจืดบจาง.
อ้าช่วยระงับดับ ทุขะพี่ระคายระคาง;
พี่รักอนงค์นาง ผิมิสมฤดีถวิล
เหมือนพี่มิได้คง วรชีวะชีวิติน-
ทรีย์ไซร้บ่ไฝ่จิน- ตะนะห่วงและห่อนนิยม.
ชีพอยู่ก็เหมือนตาย, เพราะมิวายระทวยระทม
ทุกข์ยากและกรากกรม อุระช้ำระกำทวี
อ้าฟังดนูเถิด มะทะนาและตอบวจี
พอให้ดนูนี้ สุขะรื่นระเริงระรวย
สุเทษณ์ อ้ายอดสิเนหา มะทะนาวิสุทธิศรี,
อย่าทรงพระโศกี วรพักตร์จะหม่นจะหมอง.
พี่นี้นะรักเจ้า และจะเฝ้าประคับประคอง
คู่ชิดสนิทน้อง บ่มิให้ระคางระคาย.
พี่รักวะธุนวล บ่มิควรระอาละอาย,
อันนาริกับชาย ฤก็ควรจะร่วมจะรัก.
รูปเจ้าวิไลราว สุระแสร้งประจิตประจักษ์,
มิควรจะร้างรัก เพราะพะธูพิถีพิถัน;
ธาดาธสร้างองค์ อรเพราะพิสุทธิสรรพ์
ไว้เพื่อจะผูกพัน ธนะจิตตะจองฤดี.
อันพี่สิบุญแล้ว ก็เผอิญประสบสุรี
และรักสมัครมี มนะมุ่งทะนุถนอม.
ขอโฉมเฉลาปลง พระฤดีประนีประนอม.
รับรักและยินยอม ดนุรักสมัครสมาน.
หากนางมิข้องขัด ประดิพัทธ์ประสมประสาน
ทั้งสองจะสุขนาน มนะจ่อบจืดบจาง.
อ้าช่วยระงับดับ ทุขะพี่ระคายระคาง;
พี่รักอนงค์นาง ผิมิสมฤดีถวิล
เหมือนพี่มิได้คง วรชีวะชีวิติน-
ทรีย์ไซร้บ่ไฝ่จิน- ตะนะห่วงและห่อนนิยม.
ชีพอยู่ก็เหมือนตาย, เพราะมิวายระทวยระทม
ทุกข์ยากและกรากกรม อุระช้ำระกำทวี
อ้าฟังดนูเถิด มะทะนาและตอบวจี
พอให้ดนูนี้ สุขะรื่นระเริงระรวย
[วสันตะดิลก, ๑๔.]
มัทนา ฟังถ้อยดำรัสมะธุระวอน ดนุนี้ผิเอออวย.
จักเป็นมุสาวะจะนะด้วย บมิตรงกะความจริง.
อันชายประกาศวะระประทาน ประดิพทธะแด่หญิง,
หญิงควรจะเปรมกะมะละยิ่ง ผิวะจิตตะตอบรัก;
แต่หากฤดีบอะภิรมย์ จะเฉลยฉะนั้นจัก
เป็นปดและลวงบุรุษะรัก ก็จะหลงละเลิงไป.
ตูข้าพระบาทสิสุจริต บมิคิดจะปดใคร,
จึ่งหวังและมุ่งมะนะสะใน วรเมตตะธรรมา.
อันว่าพระองค์กรุณะข้อย ฤก็ควรจะปรีดา,
อีกควรฉลองวรมหา กรุณาธิคุณครัน;
ดังนี้คะนึงฤก็ระบม อุระแห่งกระหม่อมฉัน,
ที่ตนบอาจจะอภิวัน- ทะนะตอบพระวาจา
ให้ถูกประดุจสุระประสงค์, ผิวะทรงพระโกรธา,
หมฺ่อมฉันก็โอนศิระณบา- ทะยุคลและกราบกราน.
มัทนา ฟังถ้อยดำรัสมะธุระวอน ดนุนี้ผิเอออวย.
จักเป็นมุสาวะจะนะด้วย บมิตรงกะความจริง.
อันชายประกาศวะระประทาน ประดิพทธะแด่หญิง,
หญิงควรจะเปรมกะมะละยิ่ง ผิวะจิตตะตอบรัก;
แต่หากฤดีบอะภิรมย์ จะเฉลยฉะนั้นจัก
เป็นปดและลวงบุรุษะรัก ก็จะหลงละเลิงไป.
ตูข้าพระบาทสิสุจริต บมิคิดจะปดใคร,
จึ่งหวังและมุ่งมะนะสะใน วรเมตตะธรรมา.
อันว่าพระองค์กรุณะข้อย ฤก็ควรจะปรีดา,
อีกควรฉลองวรมหา กรุณาธิคุณครัน;
ดังนี้คะนึงฤก็ระบม อุระแห่งกระหม่อมฉัน,
ที่ตนบอาจจะอภิวัน- ทะนะตอบพระวาจา
ให้ถูกประดุจสุระประสงค์, ผิวะทรงพระโกรธา,
หมฺ่อมฉันก็โอนศิระณบา- ทะยุคลและกราบกราน.
[อินทวงศ์, ๑๒.]
สุเทษณ์ ที่หล่อนมิยินยอม มะนะรักสมัครสมาน,
มีคู่สะมรมาน อภิรมย์ฤเป็นไฉน?
[วสันตะดิลก, ๑๔.]
มัทนา หม่อมฉันบมีบุรุษผู้ ประดิพัทธะใดใด,
เป็นโสดบมีมะนะสะใฝ่ อภิรมย์ฤสมรส.
[อินทวงศ์, ๑๒.]
สุเทษณ์ เช่นนั้นก็เชิญฟัง ดนุกล่าวสิเนหะพจน์,
เจ้างามประเสริฐหมด ก็มิควรจะฤดีจะดำ.
[วสันตะดิลก, ๑๔.]
มัทนา หม่อมฉันสดับมะธุระถ้อย ก็สำนึกเสนาะคำ,
แต่ต้องทำนูลวะจะนะซ้ำ ดนุจะได้ทำนูลมา.
[อินทวงศ์, ๑๒.]
สุเทษณ์ นี่เจ้ามิยอมรับ รสะรักฉะนั้นฤจ๋า?
ตัวฉันจะเลวสา- หะสะด้วยประการไฉน?
[วสันตะดิลก, ๑๔.]
มัทนา อ้าองค์พระผู้สุระวิศิษฏ์, พระจะผิดสะถานใด?
หม่อมฉันสิทรามเพราะบ่มิได้ อนุวัตน์พระบัณฑูร.
[อินทวงศ์, ๑๒.]
สุเทษณ์ ยิ่งฟังพะจีศรี ก็ระตีประมวลประมูล,
ยิ่งขัดก็ยิ่งพูน ทุขะท่วมระทมหะทัย!
อ้าเจ้าลำเพาพักตร์ สิริลักษณาวิไล,
พี่จวนจะคลั่งไคล้ สติเพื่อพะวงอนงค์.
สุเทษณ์ ยิ่งฟังพะจีศรี ก็ระตีประมวลประมูล,
ยิ่งขัดก็ยิ่งพูน ทุขะท่วมระทมหะทัย!
อ้าเจ้าลำเพาพักตร์ สิริลักษณาวิไล,
พี่จวนจะคลั่งไคล้ สติเพื่อพะวงอนงค์.
[วสันตะดิลก, ๑๔.]
มัทนา โอ้โอ๋ละเหี่ยอุระสดับ วรศัพทะท่านทรง
อ้อยอิ่งแสดงวรประสง- คะณตัวกระหม่อมฉัน;
อยากใคร่สนองพระวรสุน- ทรคุณอเนกนั้น,
จนใจเพราะผิดคติสุธรรม์ สุจริตประติชฺญา.
ขอให้พระองค์อะมะระเท- วะเสวยประโมทา,
หม่อมฉันจะขอประณตะลา สุระราชลิลาศไป.
(มัทนากราบแล้วตั้งท่าจะไป, แต่สุเทษณ์จับข้อมือไว้ด้วยกิริยาออกจะโกรธ.)
[ฉบงง, ๑๖.]
สุเทษณ์ ช้าก่อน! หล่อนจะไปไหน?
มัทนา หม่อมฉันอยู่ไป ก็เครื่องแต่ทรงรำคาญ
สุเทษณ์ ใครหนอบอกแก่นงคราญ ว่าพี่รำคาญ?
มัทนา หม่อมฉันสังเกตเองเห็น.
สุเทษณ์ เออ! หล่อนนี้มาล้อเล่น อันตัวพี่เป็น คนโง่ฤาบ้าฉันใด?
มัทนา หม่อมฉันเคารพเทพไท ทูลอย่างจริงใจ ก็บมิทรงเชื่อเลย,
กลับทรงดำรัสตรัสเฉลย ชวนชักชมเชย และชิดสนิทเสนหา.
พระองค์ทรงเป็นเทวา ธิบดีปรา กฏเกียรติยศเกรียงไกร,
มีสาวสุรางค์นางใน มากมวลแล้วไซร้ ในพระพิมานมณี,
จะโปรดปรานข้าบาทนี้ สักกี่ราตรี? และเมื่อพระเบื่อข้าน้อย,
จะมิต้องนั่งละห้อย นอนโศกเศร้าสร้อย ชะเง้อชะแง้แลหรือ?
หม่อมฉันนี้เป็นผู้ถือ สัจจาหนึ่งคือ ว่าแม้มิรักจริงใจ,
ถึงแม้จะเป็นชายใด ขอสมพาสไซร้ ก็จะมิยอมพร้อมจิต.
ดังนี้ขอเทพเรืองฤทธิ์ โปรดข้าน้อยนิด, ข้าบาทขอบังคมลา.
[กมล, ๑๒.]
สุเทษณ์ (ตวาด) อุเหม่!
มะทะนาชะเจ้าเล่ห์ ชิชิช่างจำนรรจา,
ตะละคำอุวาทา ฤกระบิดกระบวนความ.
ดนุถามเจ้าก็ไซร้ บมิตอบณคำถาม,
วนิดาพยายาม กะละเล่นสำนวนหวน.
ก็และเจ้ามิเต็มจิต จะสดับดนูชวน,
ผิวะให้อนงค์นวล ชนะหล่อนทะนงใจ.
บ่มิยอมจะร่วมรัก และสมัครสมรไซร้,
ก็ดะนูจะยอมให้ วนิดานิวาสสวรรค์
ผิวะนางเผอิญชอบ มรุอื่นก็ข้าพลัน
จะทุรนทุรายศัล- ยะบ่อยากจะยินยล;
เพราะฉะนั้นจะให้นาง จุติสู่ณแดนคน,
มะทะนาประสงค์ตน จะกำเนิดณรูปใด?
ทวิบทจะตูร์บาท ฤจะเป็นอะไรไซร้,
วธุเลือกจะตามใจ และจะสาปประดุจสรร;
จะสถิตฉะนั้นกว่า จะสำนึกณโทษทัณฑ์
และผิวอนดนูพลัน จะประสาทพระพรให้
วนิดาจรัลกลับ ณ ประเทศสุราลัย;
ก็จะชอบสะถานใด วธุตอบดนูมา.
[สาลินี, ๑๑.]
มัทนา อ้าเทพศักด์สิทธิ์ซึ่ง พระจะลงพระอาญา
ข้าเป็นแต่เพียงข้า บมิมุ่งจะอวดดี.
หม่อมฉันนี่อาภัพ และก็โชคบ่พึงมี,
จึ่งไม่ได้รองศรี วรบาทพระจอมแมน.
อันทรงเมตตาควร จะประจบและตอบแทน
คุณท่านที่มากแสน คณนาประมวลมี.
อันโปรดให้เลือกตาม ฤดิข้าณบัดนี้,
ขอเป็นซึ่งมาลี รุจิเรขวิไลวรรณ,
สุดแท้แต่จอมสรวง จะประสิทธิ์ประสาทพันธุ์
ขอเพียงให้มีคัน- ธะระรื่นระรวยหอม.
ด้วยกลิ่นของข้าบาท ก็จะได้ประณตน้อม
ใจนิตย์บูชาจอม สุระบ่มบำเพ็ญบุญ,
ข้าขอแต่เพียงให้ มรุทรงพระการุญ.
ให้ข้าได้ทำคุณ และประโยชน์บ่อยู่หมัน.
มัทนา อ้าเทพศักด์สิทธิ์ซึ่ง พระจะลงพระอาญา
ข้าเป็นแต่เพียงข้า บมิมุ่งจะอวดดี.
หม่อมฉันนี่อาภัพ และก็โชคบ่พึงมี,
จึ่งไม่ได้รองศรี วรบาทพระจอมแมน.
อันทรงเมตตาควร จะประจบและตอบแทน
คุณท่านที่มากแสน คณนาประมวลมี.
อันโปรดให้เลือกตาม ฤดิข้าณบัดนี้,
ขอเป็นซึ่งมาลี รุจิเรขวิไลวรรณ,
สุดแท้แต่จอมสรวง จะประสิทธิ์ประสาทพันธุ์
ขอเพียงให้มีคัน- ธะระรื่นระรวยหอม.
ด้วยกลิ่นของข้าบาท ก็จะได้ประณตน้อม
ใจนิตย์บูชาจอม สุระบ่มบำเพ็ญบุญ,
ข้าขอแต่เพียงให้ มรุทรงพระการุญ.
ให้ข้าได้ทำคุณ และประโยชน์บ่อยู่หมัน.
[ฉบงง, ๑๖.]
สุเทษณ์ ที่เจ้างอนง้อข้อนั้น เราจะยอมสรร- พะสิทธิดังใจจนต์.
ดูราท่านมายาวิน, นางนี้ถวิล จะถือรูปเป็นมาลี.
ก็บุปผาอย่างใดมี ที่งามทั้งสี อีกทั้งมีกลิ่นส่งไกล?
แต่ต้องให้มีหนามไว้ ป้องกันมิให้ เหล่าเดรัจฉานผลาญยับ.
มายาวิน เทวะ! อันไม้งามสรรพ มีลักษณ์ต้องกับ พระองค์ดำรัสนั้นมี
ในนันทะโนทยานศรี, องค์พระศจี ธโปรดเป็นยอดมาลา.
เห็นมีแต่ในฟากฟ้า, ในแดนคนหา ไม้นี้มิได้แห่งไหน.
สุเทษณ์ ไม้นี้มีนามฉันใด? ท่านจงเล่าให้ เราทราบซึ่งลักษณ์แถลง.
[อินทะวิเชียร, ๑๑.]
มายาวิน ไม้เรียกผะกากุพฺ- ชะกะสีอรุณแสง
ปานแก้มแฉล้มแดง ดรุณีณยามอาย;
ดอกใหญ่และเกสร สุวคนธะมากมาย,
อยู่ทนบวางวาย มธุรสขจรไกล;
อีกทั้งสะพรั่งหนาม ดุจะเข็มประดับไว้
ผึ้งเขียวสิบินไขว่ บมิใคร่จะห่างเหิน.
อันกุพฺชะกาหอม บริโภคอร่อยเพลิน,
รสหวานสิหวานเชิญ นรลิ้มเพราะเลิศรส;
กินแล้วระงับตรี พิธะโทษะหายหมด,
คือลมและดีลด ทุษะเสมหะเสื่อมสรรพ์;
อีกทั้งเจริญกา- มะคุณาภิรมย์นันท์,
เย็นในอุราพลัน, และระงับพยาธี.
[ฉบงง, ๑๖.]
สุเทษณ์ ดีละ, จะให้มารศรี เป็นดอกไม้นี้ โฉมยงจะว่าฉันใด?
มัทนา ไหนไหนจะเป็นดอกไม้, หม่อมฉันพอใจ เป็นดอกที่ออกนามมา.
ข้าขอก้มเกศวันทา ที่จอมเทวา การุญให้เลือกเช่นนี้.
สุเทษณ์ ด้วยอำนาจอิทธิ์ฤทธี อันประมวลมี ณ ตัวกูผู้แรงหาญ,
กูสาปมัทนานงคราญ ให้จุติผ่าน ไปจากสุราลัยเลิศ,
สู่แดนมนุษย์และเกิด เป็นมาลีเลิศ อันเรียกว่ากุพฺชะกะ,
ให้เป็นเช่นนั้นกว่าจะ รู้สึกอุระ ระอุเพราะรักรึงเข็ญ.
ทุกเดือนเมื่อถึงวันเพ็ญ ให้นางนี้เป็น มนุษย์อยู่กำหนดมี
เพียงหนึ่งทิวาราตรี; แต่หากนางมี ความรักบุรุษเมื่อใด.
เมื่อนั้นแหละให้ทรามวัย คงรูปอยู่ไซร้ บคืนกลับเป็นบุปผา.
หากรักชายแล้วมัทนา บมีสุขา ภิรมย์เพราะเริดร้างรัก,
และนางเป็นทุกข์ยิ่งนัก จนเหลือที่จัก อดทนอยู่อีกต่อไป,
เมื่อนั้นผิวาอรทัย กล่าววอนเราไซร้ เราจึ่งจะงดโทษทัณฑ์.
[จิตระปทา, ๘.]
นางมทะนา จุติอย่านาน
จงมะละฐาน สุระแมนสวรรค์,
ไปเถอะกำเนิด ณ หิมาวัน
ดั่งดนุลั่น วจิสาปไว้!
(พิณพาทย์ทำเพลงคุกพาทย์, สุเทษณ์แผลงฤทธิ์, ฟ้าแลบแวววาววาบตลอดเพลง. พอถึงรัวท้าย มัทนาร้องกรี๊ดและล้มลงกับพื้น)
ที่มา http://www.thaigoodview.com/node/78755
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น